วันเสาร์ที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2554

>>The History Of Valentine's Day <*-*>


กุมภาพันธ์เป็นเดือนที่อบอวลไปด้วยความสุขการแสดงถึงความรัก ความห่วงใยถึงคนที่ เราปรารถนาดีและ
อยากให้เขามีความสุข และเป็นที่รับรู้กันทั่วโลกว่าวันที่ 14 กุมภาพันธ์ เป็นวันแห่งความรักหรือ Valentine’s Day และวันนี้ยังมีคิวปิด หรือกามเทพ ซึ่งถือเป็นสัญลักษณ์ของ วันวาเลนไทน์ที่มีชื่อเสียงมากที่สุด คิวปิดเป็นบุตรของวีนัสและมาร์ส แต่ ชาวกรีกเรียกคิวปิดว่า อีรอส ภาพของ คิวปิดที่มนุษย์โลกปัจจุบันได้รู้จัก
ก็คือภาพเด็กน้อยที่ถือคันธนูและลูกศร มีหน้าที่ยิงศรรักให้ปักใจคน ปัจจุบัน คิวปิดและธนูของเขากลายมาเป็น เครื่องหมายแห่งความรักที่เป็นที่รู้จัก มากที่สุด และความรักของเขามีกล่าวถึงบ่อยในภาพของ การยิงศรรัก ระหว่าง หัวใจสองดวงให้รักกัน เรียกกันว่า ศรรักคิวปิด เราจึงมาเล่าสู่กันฟังเกี่ยว กับประวัติความเป็นมาและความสำคัญ ของวันนี้กันค่ะ


เทศกาลวาเลนไทน์ เริ่มมีขึ้น ตั้งแต่ยุคที่จักรวรรดิโรมันเรืองอำนาจ ในยุคนั้น วันที่ 14 กุมภาพันธ์ของทุกปี ถูกจัดให้เป็นวันหยุดเพื่อเป็นเกียรติแต่เทพเจ้าจูโนผู้เป็น จักรพรรดินีแห่งเทพเจ้าโรมัน นอกจาก นี้แล้วพระองค์ยังทรงเป็นเทพเจ้าแห่ง อิสตรีเพศและการแต่งงานและในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ เป็นวันเริ่มต้นเทศกาล เฉลิมฉลองแห่งลูเพอร์คาร์เลีย การ ดำเนินชีวิตของหนุ่มสาวจะ ถูกตัดขาดออกจากกันอย่างสิ้นเชิง ในรัชสมัยของ จักรพรรดิคลอดิอัส ที่ 2 (Emperor Claudius II) แห่ง กรุงโรม พระองค์ ทรงเป็นกษัตริย์ที่มี ใจคอดุร้ายและทรงนิยม การ ทำสงครามนองเลือด ได้ทรงตระหนักว่าเหตุที่ ชายหนุ่มส่วนมากไม่ประสงค์จะเข้าร่วม ในกองทัพเนื่องจากไม่อยากจากคู่รัก และครอบครัวไป จึงทรงมีพระราชโอง การสั่งห้ามมิให้มีการจัดพิธีหมั้นและ แต่งงานกันในโรมโดยเด็ดขาด ทำให้ ประชาชนทุกข์ใจเป็นอย่างยิ่ง และขณะนั้น มีนักบุญรูปหนึ่งนามว่า เซนต์วาเลนไทน์ หรือวาเลนตินัส ซึ่งอาศัยอยู่ในโรมได้ ร่วมมือกับเซนต์มาริอัสจัดพิธีแต่งงานให้กับ ชาวคริสต์หลายคู่ และด้วยความปรารถนา ดีนี้เองจึงทำให้วาเลนไทน์ถูกจับและระ หว่างนี้ก็ยังคงส่งคำอวยพรวาเลนไทน์ ของเขาเองขณะที่เขาเป็นนักโทษ เป็น ความเชื่อว่าวาเลนไทน์ได้ตกหลุมรักหญิง สาวที่เป็นลูกสาวของผู้คุมที่ชื่อจูเลีย ซึ่งได้มาเยี่ยมเขาระหว่างที่ถูกคุมขัง ในคืนก่อนที่วาเลนไทน์จะสิ้นชีวิตโดยการถูกตัดศีรษะ เขาได้ส่งจดหมายฉบับ สุดท้ายถึงจูเลีย โดยลงท้ายว่า “From Your Valentine”

วันที่ 14 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 270 หลังจากนั้นศพของเขาได้ถูก เก็บไว้ที่โบสถ์ พราซีเดส (Praxedes) ณ กรุงโรม จูเลียได้ปลูกต้นอามันต์ หรืออัลมอลต์สีชมพู ไว้ใกล้หลุม ศพของวาเลนตินัส แด่ผู้เป็น ที่รักของเธอ โดยในทุกวันนี้ ต้นอามันต์สีชมพูได้เป็นตัวแทน แห่งรักนิรันดรและมิตรภาพ อันสวยงาม และคำนี้ก็เป็นคำที่ใช้มา จนถึงปัจจุบัน ถึงแม้ว่าเบื้อง หลังความเป็นจริงของวาเลนไทน์จะ เป็นตำนานที่มืดมัว แต่เรื่องราวยังคง แสดงให้เห็นถึงความรู้สึกสงสาร ความ กล้าหาญและที่สำคัญที่สุดเป็นเครื่องหมาย ของความโรแมนติค จึงไม่น่าประหลาดใจ เลยว่าในช่วงยุคกลางวาเลนไทน์เป็นนักบุญ ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในอังกฤษและฝรั่งเศส ต่อมาพระในนิกายโรมันคาทอลิกจึงเลือกให้ วันที่ 14 กุมภาพันธ์ เป็นวันเฉลิมฉลอง เทศกาลแห่งความรักและดูเหมือนว่ายัง คงเป็นธรรมเนียมที่ชายหนุ่มจะเลือก หญิงสาวที่ตนเองพึงใจในวันวาเลนไทน์ สืบต่อกันมาจนถึงทุกวันนี้

วาเลนไทน์ ในแต่ละประเทศจะมีประเพณีหรือการ ปฏิบัติที่แตกต่างกันบ้าง แต่โดยรวมแล้ว จะมีการเฉลิมฉลองและเป็นการแสดงถึง ความรักที่มีระหว่างกัน ต่อมาเมื่อความ เจริญก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยีทางด้าน การพิมพ์เข้ามาเกี่ยวข้องมีการพิมพ์บัตร อวยพรโดยเข้ามาแทนที่จดหมายที่ เขียนด้วยลายมือ และปัจจุบันก็มีการส่ง บัตรอวยพรทางออนไลน์เพื่อ
แสดงถึงความ ก้าวหน้าของเทคโนโลยีสารสนเทศที่ช่วย ให้คนที่ต้องการแสดงความรักความห่วงใย ถึงคนที่รักได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น ประวัติ วันวาเลนไทน์นี้ เป็นเรื่องที่เล่าต่อๆกันมา จนถึงปัจจุบัน เท่าที่ค้นหามาได้นี้เป็นเพียง หนึ่งในหลายๆเรื่องเท่านั้น แต่ไม่ว่าประวัติ ที่แท้จริง จะเป็นอย่างไรก็ตาม ใน ปัจจุบัน นี้เราได้ถือว่าวันวาเลนไทน์เป็น วันสำคัญวันหนึ่งในประวัติศาสตร์เลยที เดียว คุณสามารถส่งดอกไม้ ขนมและ การ์ด เพื่อบอกความนัยให้แก่คนพิเศษ ของคุณ วันนี้จะเป็นวันที่เราส่งความรู้สึก ดีๆให้แก่กัน...


*-* บุคคลในอุดมคติ *-*

" การตามหาคนที่ได้ตามอุดมคติของตนนั้นอาจจะยาก แต่การไต่ขึ้นไปให้ถึงระดับอุดมคติของใครอีกคนนั้น ยิ่งเหนื่อย ยากยิ่งกว่า "


บุคคลในอุดมคติ คือ บุคคลที่เป็นแบบอย่างที่ดี ให้เรา ไม่ว่าบุคคลนั้น จะ เป็นใคร สูงต่ำแค่ไหน รวยหรือจน ก็ตาม*

บุคคลในอุดมคติของข้าพเจ้า คือ *** แม่ *** เพราะเป็นแบบอย่างให้ข้าพเจ้าในทุกๆเรื่อง.......

วันพฤหัสบดีที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2554

วันจันทร์ที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2553

>>> 13 เหตุผล ของชีวิต ม.6 ในการเป็นที่สุด

1.แก่ที่สุด

ถ้านับเฉพาะนักเรียน และไม่รวมผอ. ครูอาจารย์ นักการภารโรงม.6 ก็ต้องแก่ที่สุดในโรงเรียนแน่นอนแต่จะแก่ความรู้หรืออยู่นานอันนี้ต้องแล้วแต่ตัวบุคคล



2.เครียดทีสุด

บางคนบอกว่า Entrance ไม่ใช่ทั้งหมดของชีวิตแต่ สำหรับ ม.6 ถึงไม่ใช่ทั้งหมด ก็ เข้าใกล้ทั้งหมดเหมือน
limit เข้าสู่ x ไม่ใช่ x แต่เข้าใกล้ x ยังไงหยั่งงั้นไหนจะบรรดาครูอาจารย์ ญาติโกโหติกา พ่อแม่พี่น้อง เพื่อนฝูง
ที่คอยให้กำลังใจ(เชิงกดดัน)อีกม.6ไม่เครียดก็แปลกแล้ว

3.ขยันที่สุด

อยากสูงต้องเขย่ง อยากเก่งต้องขยันเมื่อเครียด อยากเอนท์ติดแล้วมานั่งแต่งฟิก วาดรูป สูบอาร์ต เนี่ย มันจะติดมั้ย
ม.6 มันก็ต้องขยันเซ่อ่านเข้าไปๆๆ อ่านให้ตายๆๆ^^

4.เก่งที่สุด

เนื่องจากแก่จึงมีโอกาสถูกยัดความรู้ใส่หัวมากกว่าบรรดาศิษย์น้องเนื่องจากขยันกรรมดีนั้นจึงตกอยู่กับผู้กระทำ

5.ชีพจรลงเท้าที่สุด

หมายความว่า มีอันจะต้องเดินทางบ่อยมากๆ ไม่ว่าจะงานราษฎ์ไปสอบรับตรงที่แต่ละคณะ ขยันเปิดสอบไม่ว่าจะงานหลวง ไปสอบแข่งขันทางวิชาการเลยไม่เป็นอันได้อยู่บ้าน และไม่ได้ไปร.ร.กัน

6.เรียนพิเศษเยอะสุด

เมื่อมาถึงม.6แล้วก็แทบจะเรียนไม่ทันการสอบที่มีมากมายกันแต่ละคนจึงเรียนพิเศษกันอย่างขันแข็งเพื่อจะได้ทันสอบ
หมดกันไปคนละหลายบาทแต่ยังไงเราก็ยังยอมทุ่มทุน

7.สิวเยอะที่สุด

เรื่องสิวๆ ที่ไม่ใช่แค่สิวเพราะมันเป็นดัชนีบ่งชี้ความเครียดที่เพิ่มมากขึ้นของม.6 ด้วยเรื่องนู้น เรื่องนี้ที่ประดังประเดเข้ามา ไหนจะเวลานอนที่บั่นทอนไปอ่านหนังสือหน้าบางคนที่เคยใสเลยสิวขึ้นได้่ง่ายๆ

8.ตื้นเต้นที่สุด

ตื่นเต้นอะไรหรือจะสู้ รู้ผลเอนท์ ม.6ย่อมต้องอยากรู้อยู่แล้วว่าที่ลงทุนลงแรงไปทั้งหมดน่ะเพียงพอจะซื้อ ประตูสู่อนาคตที่สดใสรึเปล่าตอนประกาศผลรับตรงนี่ถึงกับกินข้าวไม่ลงกันเลยทีเดียวเชียว

9.บ้ากล้องที่สุด

อันนี้คิดว่าเป็นทุกคนพอใกล้จะเรียนจบ เราก็อยากเก็บความทรงจำดีๆเอาไว้ไหนจะรูปสถานที่ต่างๆในร.ร.ไหนจะรูปเพื่อน รูปครูเพราะไม่รู้จะเจอกันอีกเมื่อไหร่เลยต้องระดม ถ่ายๆๆๆๆๆประมาณว่า มูลค่ากล้องถ่ายรูปทั้งสายชั้นรวมกัน
แทบจะสร้างห้องสมุดใหม่ให้ร.ร.ได้ (อันนี้ก็เวอร์ไป)

10.แอ๊บแบ๊วที่สุด

เมื่อ แก่ มาก และอยาก ถ่ายรูป มากก็เลยต้อง แอ๊บ มากเพื่อให้ แบ๊ว มาก

11.ซาบซึ้งที่สุด

งานปัจฉิมนิเทศน์ คงจะรู้กันดีว่า [วินาทีที่จุดจบของอดีตและจุดเริ่มของอนาคตเดินทางมาบรรจบกัน] นั้นบรรยากาศมันซาบซึ้งใจ แค่ไหน

12.รัก (เพื่อน- ครู - ร.ร.)ที่สุด

คนเรามักจะรู้ค่าสิ่งใกล้ตัวที่มีอยู่ ก็ต่อเมื่อกำลังจะเสียมันไปเพราะว่า จะไม่มีอีกแล้วถึงได้รู้ว่ารักมากแค่ไหนร.ร.ที่เคยบ่น ก็รู้สึกภาคภูมิอาจารย์ที่เคยนินทา ก็ได้รู้สึกเคารพเพื่อนที่เคยทะเลาะ ก็ได้คืนดีเพราะ จะไม่มีอีกแล้วจึงต้องรักษาช่วงเวลาสุดท้าย ให้กลายเป็นความทรงจำที่ดี

13....คิดถึงที่สุด...

เพราะรัก จึงคิดถึง



^____^





อ่านต่อ : http://www.dek-d.com/board/view.php?id=2013317#ixzz1cUpgPvW4

วันอาทิตย์ที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2553

โอ๊ะโอวววววว ภาพลวงตา *-*



เงาสะท้อนหรืออะไร ?



ทำไมมันขยับได้ !



ดูใกล้ๆจะเป็นผู้หญิงนั่งส่องกระจก ดูไกลๆ จะเห็นเป็นหัวกระโหลก  !



เส้นตั้ง 2 เส้นที่เห็น เส้นไหนยาวกว่ากัน ?



ช้างนี่มีกี่ขา ?



วงกลมวงนอกมันขยายออก วงในมันหดเข้า !



เหมือนมันขยายได้ !



ทำไมมันเป็นคลื่น !



งงกันอีกรูป !

http://topicstock.pantip.com/wahkor.........X3593573-26.jpg

พริ้วเป็นผ้าเลย





อ่านต่อ : http://www.dek-d.com/board/view.php?id=1996871#ixzz1cTZn6abI

~~เพื่อนกับนาฬิกา~~


ถามอะไรคุณอย่างนึงได้ไหม
เพื่อนตามความคิดคุณคืออะไร?

เค้ามีความสำคัญกับคุณมากแค่ไหน
เทียบกับคนรักของคุณได้บ้าง ฤ เปล่า

ฉันมีบ้างอย่างอยากจะเล่าให้ฟังแค่นั้นเอง

มีนาฬิกาปลุกอยู่เรือน 1
มันทำหน้าที่ของมันทุกวัน
ทั้งเข็มยาวเข็มสั้น….
ยังคงเดินทางรอบหน้าปัดอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย

ตอนเช้าๆๆๆๆๆๆๆๆ
มันจะส่งเสียงกวนประสาท
เสียงที่ทำให้เราต้องตื่นจากความฝันแสนหวาน
เราตอบแทนมันโดยการเอื้อมมือไป ควานหาตบหรือกดมันอย่างแรง
ด้วยความรำคาญ เพื่อให้มันเงียบ
ทั้งๆที่มันก็ช่วยให้เราไม่ไปผิดนัดสำคัญๆอยู่เสมอ
และถ้ามันเผลอปลุกเราในวันพักผ่อน
บางทีเราอาจจะขวางมันทิ้งเสียด้วยซ้ำ
ทั้งๆที่เราก็เป็นคนตั้งเวลาเอาไว้เอง

บ้างครั้งเราก็มั่วทำอย่างอื่นที่เราเห็นว่าสำคัญ
มากเสียยิ่งกว่า
นาฬิกาที่มันตั้งอยู่ที่เดิมของมันทุกวัน
เราไม่ใส่ใจมันเท่าไรหรอก จะสนใจมันแค่ตอนเรา
อยากรู้เวลาก็เท่านั้นเอง
จนกระทั่งวันนึง
นาฬิกาเดิมๆเรือนนั่นมันเงียบหายไป
คุณไม่รู้หรอกว่ามันเงียบไปเมื่อไร
คุณจำไม่ได้หรอกว่าตอนมันเดินครั้งสุดท้าย คือ ตอนไหน
คุณได้แต่โทษมันในเช้าวันนั้นว่า
ไอ้นาฬิกา เฮงซวย..ทำไมถึงไม่ปลุก
ทั้งที่มันเงียบไปเพราะคุณ………

คุณว่าไหม ว่า
เพื่อนมันเหมือนนาฬิกาปลุกเนอะ…”

ทำไมนะเหรอ……….
คุณคิดดูสิ---
ความรักระหว่างเพื่อนก็เหมือนการเดินของเข็มนาฬิกานะ
เดินอยู่ที่เดิมๆๆๆๆๆ แต่ก็เดินไปได้เรื่อยๆๆ ไม่เหนื่อยไม่เบื่อ
บางครั้งเพื่อนก็เตือนเรา
บอกเรา แนะนำเราไนบางเรื่องที่เราควรจะฟัง
แต่เรากลับรำคาญมัน
พูดทำร้ายน้ำใจเค้า หรือทำให้เค้าเสียใจ
เพราะคิดว่าคำพูดเตือนของเค้าทำให้คุณรำคาญ
ถึงแม้บางทีคุณก็ทำไปเพราะไม่ได้ตั้งใจ
แต่ลองสังเกตสิ
สิ่งที่เพื่อนๆคุณเตือน(ด้วยความหวังดีนั้น)
บางทีกลับช่วยคุณได้หลายๆเรื่อง

หลายครั้งหลายคราว
ที่คุณมัวแต่ทำเรื่องอื่น
ให้ความสำคัญกับคนอื่นๆๆ
และมองข้ามความสำคัญเพื่อน
เพราะคุณคิดอยู่เสมอว่า……..
ความรักของเพื่อน มันเป็นเรื่องปกติ ธรรมดา
เช่นเดียวกับ นาฬิกา
ที่มันจะเดินไปอย่างนั้นเหมือนทุกๆวัน
แต่คุณคงลืมไปว่าสักวัน
ถ่านที่คุณใส่ไว้มันก็ต้องหมด
นาฬิกาไม่ได้ละเลยหน้าที่ของมัน
หากเพียงแต่เมื่อเวลาผ่านไป
มันจะเอาแรงที่ไหนเดินหากไม่มี แบตเตอร์รี่
เช่นเดียวกันกับเพื่อนของคุณ
แม้เค้าจะรักและปรารถนาดีกับคุณมากแค่ไหนก็ตาม
หากคุณเองไม่เคยใส่ใจ
หลงลืมไปว่ายังมีเค้าอยู่
ก็เปรียบเหมือนดังนาฬิกา
ที่มันไม่ได้ละทิ้งหน้าที่ของมันหรอก
หากแต่เพียงคุณเองที่ไม่เคยจะเอาใจใส่
นาฬิกาเก่าๆเดิมๆเรือนนั้นเลย
ถึงเวลาหรือยังที่คุณจะหันกลับมามอง
มองดูนาฬิกาเรือนเดิม
ไม่สายไปใช่ไหมที่คุณจะใส่ถ่านให้มันอีกครั้ง
และไขลานให้มันเดินดังเดิม
เพื่อให้นาฬิกาเรือนเดิม
กลับมาทำหน้าที่หน้าเบื่อเดิมๆ
อักสักครั้ง

รักเพื่อนๆทุกคนนนนนนนนนนน



อ่านต่อ : http://writer.dek-d.com/love_kn/story/viewlongc.php?id=271569&chapter=1#ixzz1cUAjLIaH